วันที่: 2012-09-06 11:33:34.0
มนุษย์ในโลกนี้เคยเรียนรู้ว่าในโลกล้วนแต่มีสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มีอยู่สิ่งหนึ่งคือยาสมุนไพร ซึ่งได้อยู่คู่กับบรรพบุรุษเรามาเนิ่นนาน ตั้งแต่ยุคสมัยอียิปต์โบราณจวบจนกระทั่งปัจจุบัน และได้กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกใบนี้ มนุษย์ในรุ่นนั้นได้นำผลิตผลทางธรรมชาติ อาทิเช่น ใบ ลำต้นและรากไม้ต่าง ๆ ของพืชผักที่มีสรรพคุณทางยา โดยนำมาผสมปรุงแต่งเพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และได้กล่าวบอกสืบทอดกันมาถึงยุคปัจจุบัน ทำให้เรามีผลิตภัณฑ์สมุนไพรมาจนทุกวันนี้
ผู้จัดทำเวปไซด์ได้เคยเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย จากภาระหน้าที่งานที่ต้องทำงานในชนบทและคลุกคลีกับวิถีการดำเนินชีวิตของชาวบ้านหลายปีในแต่ละภูมิภาค และอุปนิสัยส่วนตัวที่ชอบหาประสบการณ์เก็บเกี่ยวความรู้ต่าง ๆ จากการเดินทาง ทำให้ได้รู้เรื่องราวและซึมซับวิถีธรรมชาติรวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับพืชสมุนไพรในแต่ละท้องถิ่น และได้จดจำเรื่องราวสาระบางอย่าง จึงต้องการนำมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป
“พลูคาว”เป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นที่พบมากในแถบภาคเหนือของไทย เป็นพืชตระกูลเดียวกับพลู ชอบขึ้นในพื้นที่ชื้นแฉะ มีร่มเงาเล็กน้อยและสภาพอากาศเย็น มีลักษณะแตกต่างจากพลู คือ ที่ใต้ใบของพลูคาวจะ มีสีแดงอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม ชาวบ้านในเขต ภาคเหนือจะเรียกว่า ผักคาวตอง เนื่องจากต้นและใบจะมีกลิ่นคาวรุนแรงคล้ายคาวปลา ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำใบมาเป็นผักเคียงใช้บริโภคสดกับอาหารประเภทลาบหรือหลู้
สรรพคุณ ใช้รักษาโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด มะเร็งต่อไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก ริดสีดวงทวาร กามโรค โรคผิดหนัง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา หูชั้นกลางอักเสบ
“ส้มออบแอบ” หรือลูกเถาคันเป็นพืชประจำถิ่นในแถบภาคใต้ มีการนำไปใช้ประโยชน์โดยการนำลูกและใบอ่อนที่มีรสเปรี้ยวไปใส่แกงส้ม จะได้รสชาติอาหารที่กลมกล่อม ส่วนลูกสุก จะนำไปหมักทำไวน์ได้รสชาติดีอีกเช่นกัน ชื่ออื่น ๆ ที่ใช้เรียกกัน ได้แก่ ส้มเค้า ส้มน้ำอ๊อบ ส้มอ๊อบแอ๊บ ลูกเถาคัน นอกจากใส่แกงส้มแล้ว ประโยชน์ทางยา คือสามารถนำใบและเถาใช้เป็นยาฟอกเลือด ดับพิษตานซาง แก้อักเสบเนื่องจากเป็นแผลในกระเพาะอาหาร และต้มเป็นยาขับพยาธิไส้เดือนสำหรับเด็ก
“ใบย่านาง” เป็นไม้เลื้อย ชื่อพื้นบ้านอีสานคือ "ย่านาง" ชื่อทั่วไป เถาย่านาง ย่านางเป็นไม้เถาขนาดเล็ก ใบเดี่ยวเรียงแบบสลับ แผ่นใบรูปรี รูปหอกถึงรูปไข่แกมหอก กว้าง 2-5 เซนติเมตร หรืออาจจะถึง 8.5 เซนติเมตร ยาว 6.5-10 เซนติเมตร บางแห่งสูง 17 เซนติเมตร ปลายแหลมถึงใบเรียวแหลม โคนใบสอบถึงมน ผิวใบเกลี้ยง สีเขียวเข้ม เห็นเส้นใบเด่นชัดจากโคนถึงปลายใบ 3 หรือ 5 เส้น ดอกมีขนาดเล็กมาก สีเหลืองอ่อนหรือเหลืองแกมเขียว ออกเป็นช่อตามซอกใบและตามลำต้น ผลเป็นรูปไข่มีขนาดเล็ก เมื่ออ่อนมีสีเขียว สุกจะมีสีแสดถึงแดง กว้าง 6-7 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มิลลิเมตร
พบในแหล่งธรรมชาติบริเวณป่าดงดิบและป่าโปร่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคอื่นๆ ย่านางเป็นพืชที่ขึ้นได้ในดินทุกชนิดและปลูกได้ทุกฤดูกาล ย่านางมีรสจืด เถาและใบย่านางนิยมใช้เป็นเครื่องปรุง จะใช้เถา ใบอ่อน ใบแก่ ตำคั้นเอาน้ำสีเขียวแล้วไปต้มกับหน่อไม้จะช่วยลดกรดออกซาลิค นำมาปรุงเป็นแกงหน่อไม้หรือซุบหน่อไม้ทำให้หน่อไม้จืดไม่ขม น้ำคั้นจากใบใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิด โดยเฉพาะแกงเห็ด แกงขี้เหล็ก หรือแกงประเภทต่างๆ คนอีสานมีวัฒนธรรมการกินหน่อไม้คู่กับย่านางเสมอ ทางปักษ์ใต้นั้นนิยมใช้ยอดอ่อนใส่ในแกงเลียง จึงไม่มีปัญหาเหมือนการกินหน่อไม้ของคนภาคอื่นๆ รากใช้แก้ไข้ได้ทุกชนิด
ย่านางมีเส้นใยมาก อุดมด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ จากการวิเคราะห์ของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ใบย่านางที่คั้นน้ำแล้วจะมีเบต้าแคโรทีน 39.24 ไมโครกรัม เทียบหน่วยเรตินัล
"มะเกลือ" เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-30 เมตร ลำต้นตรงเป็นพุ่มทึบ กิ่งอ่อน มีขนนุ่ม ใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่ กว้าง 1-4 ซม. ยาว 4-6 ซม. ใบแห้งสีดำ เริ่มมีดอกตั้งแต่เดือนมกราคม และมีมากที่สุดในเดือนกันยายน ดอกเล็กสีขาวหรือขาวอมเหลือง เป็นช่อสั้นๆ ตามง่ามใบ
ผลกลมเกลี้ยง เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ซม. ถ้าแก่จัดผลจะออกสีดำ มีกลับจุกที่ขั้ว 4 กลีบ ออกผลในระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม เนื้อไม้กระพี้จะออกสีขาว ทิ้งไว้นานจะออกสีดำ แก่นสีดำ ว่ากันว่าไม้มะเกลือ เป็นไม้ที่มีน้ำหนักมากที่สุด มีความแข็งแรงทนทาน เหมาะกับการนำมาทำเครื่องเรือน เครื่องดนตรี ผลใช้ประโยชน์ในการนำไปย้อมผ้า เปลือกใช้เป็นยากันบูด รากฝนผสมกับน้ำซาวข้าวดื่มแก้อาเจียนหน้ามืดเป็นลม ผู้เฒ่าผู้แก่สมัยโบราณ นำผลมะเกลือสดคั้นเอาแต่น้ำนำมาผสมกับกะทิคั้นสดให้ลูกหลานดื่มก่อนมื้ออาหารเพื่อขับพยาธิปากขอ พยาธิตัวตืด
|
|
|